ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขียนถึงเรื่องนี้เพื่อนำมาคุยกับเพื่อนๆ ช้าเกินไปหรือไม่ เพราะนี่ก็เข้าสัปดาห์ที่สองของเดือนแรกของปี 2560 กันแล้ว แต่คิดว่าคงยังไม่สายเกินไปสักเท่าไรนะครับ เพราะการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ยังไม่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนกับเศรษฐกิจและการดำเนินกิจการของบริษัทส่วนใหญ่ ก็เนื่องจากข้อเท็จจริงที่ว่านี่คือช่วงต้นปี เพิ่งเสร็จสิ้นจากการฉลองปีใหม่กันมาหมาดๆ ต่างคนก็กำลังค่อยๆ ปรับตัวเข้าสู่บรรยากาศของการทำงานตามปกติกัน ก็คงใช้เวลาสักหนึ่งหรือสองสัปดาห์ราวๆ นี้ แหละหลังจากนี้ไปเราก็คงจะเห็นว่าบริษัทต่างๆ จะเริ่มขยับตัวมีกลยุทธ์ในการทำธุรกิจต่อไป
ก่อนที่เราจะคุยถึงแผนการการลงทุนในปี พ.ศ. 2560 นี้ เราลองมองย้อนกลับไปในอดีตคือในปี พ.ศ. 2559 ที่ผ่านมาบ้างสักนิดว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง โดยในภาพรวมแล้วจะเห็นว่าการเติบโตของเศรษฐกิจไทยยังคงอยู่ในช่วงถดถอย การส่งออกไม่ดีนัก มองภาพรวมจะเห็นว่าราคาน้ำมันอเฉลี่ยอยู่ราว 40 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล ซึ่งลงไปแตะจุดต่ำสุดที่ 27.82 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล นอกจากนี้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์อื่นเช่น เหล็ก ก็ตกต่ำลงอย่างมาก (รวมทั้งอย่างอื่นด้วย) แสดงให้เห็นภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดีเท่าไรนักได้อีก โดยภาพรวมแล้ว เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาขยายตัวลดลด (ร้อยละ 1.9) จีนขยายตัวลดลง (ร้อยละ 6) น้อยกว่าที่คาดการณ์กันเล็กน้อย แต่เนื่องจากสองประเทศนี้เป็นประเทศใหญ่ เมื่อเศรษฐกิจขยายตัวต่ำลง แต่ผลผลิตจากประเทศอย่างจีนที่เรียกว่าทำอะไรเล็กๆ ไม่เป็นไหลล้นออกมา ก็ทำให้บรรดาราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ทรุดลงไปด้วยอีกส่วนหนึ่ง
เหตุการณ์สำคัญในปีที่ผ่านมา
แล้วปี 2560 นี้ล่ะ
ถ้าเราสังเกตการเปลี่ยนแปลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ย้อนหลังไปสัก 4-5 ปีโดยไม่ต้องวิเคราะห์อะไรเพิ่มเติม จะเห็นว่าอยู่ในลักษณะ "ขึ้นหนึ่งปี ลงหนึ่งปี" ดังนั้นในปี 2559 ที่ผ่านมาดัชนีปรับตัวสูงขึ้นแบบ "แกว่งตัวขึ้น" เกือบทั้งปี พอมาปีนี้ดูแล้วคงน่าหวาดเสียว เพราะถ้าดัชนีที่ขึ้นมาทั้งปี 2559 เกิดจาก "ความคาดหวัง" หรือแรงเก็งกำไรในสภาพเศรษฐกิจ (ว่า การส่งออกจะดีขึ้น การผลิตและการจับจ่ายใช้สอยจะดีขึ้น) และการเมืองของไทย (การคาดหมายว่าจะมีการเลือกตั้ง) แล้ว หากเรื่องเหล่านี้เกิดความผิดหวังขึ้นมา จะเป็นตัวกระตุ้นแรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่ก็ต้องตัดสินใจด้วยว่าจะย้ายเงินออกจากการลงทุนในประเทศไทยไปยังตลาดที่ใหญ่กว่า (สหรัฐอเมริกา, ยุโรป) ที่น่าจะมีแนวโน้มในการฟื้นตัวเช่นกัน (และ แน่นอนอย่างเถียงไม่ได้ว่ามีเสถียรภาพทางการเมืองสูงกว่า)
ราคาน้ำมันที่มีการแกว่งตัวอยู่นั้น โดยส่วนตัวผมไม่คิดว่าจะมีผลมากมายไปกว่านี้ เนื่องจากคงหาจุดสมดุลของตัวเองได้อยู่ในราว 45-65 เหรียญสหรัฐต่อบาเรลอยู่อย่างนี้ และในช่วงสูงสุดหรือต่ำสุดของตัวเลขดังกล่าวก็คงไม่สร้างผลกระทบกับภาพรวมของดัชนีมากนัก เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วย่อมทำให้บริษัทที่ข้องเกี่ยวกับการสำรวจ ผลิต และการกลั่นน้ำมันทั้งหลายได้เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันกับราคาต้นทุนที่ผันผวนแบบนี้ได้แล้วนั่นเอง
อีกสิ่งหนึ่งที่น่าจับตามองคือ อัตราดอกเบี้ยที่อาจจะเพิ่มสูงขึ้นได้ในปีนี้ แน่นอนว่าอัตราดอกเบี้ยมีความสัมพันธ์กับราคาหุ้น เพราะถือว่าเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำชนิดหนึ่ง (ช่วงหลังมานี้ก็ชักไม่แน่แล้วนะครับ เพราะเราได้เห็นธนาคารน้อยใหญ่เกิดปัญหา จนกระทั่งล้มครืนก็มีแล้ว) เมื่อดอกเบี้ยเงินฝากสูงขึ้น จนใกล้เคียงกับเงินปันผลของหุ้น ถ้าบริษัทนั้นไม่แสดงศักยภาพการเจริญเติบโตที่ดีจริงๆ แล้ว นักลงทุนก็อาจจะโยกย้ายเงินออกมาไปยังที่มีผลตอบแทนเท่ากันแต่ดูว่าจะมีความเสี่ยงต่ำกว่าได้
แนวทางการลงทุนในปี 2560
เนื่องจากมีความคาดหวังว่าเศรษฐกิจโลกน่าจะฟื้นตัว (ด้วยระดับความมั่นใจที่น่าจะสูงกว่าเศรษฐกิจของไทย) ทางเลือกหนึ่งที่ดีในการลงทุนคือลงทุนในบริษัทที่ดำเนินงาน มีรายได้ มีการเติบโตในต่างประเทศด้วย และเมื่อมีแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ย่อมต้องระวังบริษัทที่มีหนี้สูง จ่ายดอกเบี้ยมากจนทำให้มีผลการดำเนินงานหมิ่นเหม่ เพราะอาจจะพลิกจากกำไรเล็กน้อยกลายเป็นขาดทุนได้ กลุ่มรับเหมาก่อสร้างดูน่าจะยังถูกเก็งกำไรอย่างหวือหวา สินค้าทางการเกษตรน่าจะไปได้ดี แต่ในที่สุดแล้วหากเราไม่ได้ซื้อหุ้นทุกตัวในตลาด ผลการดำเนินงานของการลงทุนของเราก็คงขึ้นกับบริษัทที่เราเลือกเป็นหลักว่ามีการเติบโตแค่ไหน ลองมองหุ้นขนาดเล็กที่มีแนวโน้มการเติบโตดี แล้วมาดูกันว่าเราจะควานหาเพชรในตมได้หรือไม่ในปี 2560 นี้
สุดท้ายนี้ก็ขอให้เพื่อนๆ นักลงทุนมีความสุข ประสบความสำเร็จในการลงทุนในปีนี้นะครับ